top of page

CONCERT PROGRAM

W. A. Mozart 
Il re pastore, Act ll - “L'amerò, sarò costante”
 
G. Fauré
Clair de lune, Op. 46 No. 2
 
R. Strauss
Malven, TrV 297
 
C. Debussy
Nuit d'étoiles, L. 4
 
W. A. Mozart
Die Zauberflöte, K. 620, Act ll - “Ach ich fühl's”
 
Intermission 15 min
 
G. Rossini
Il barbiere di Siviglia, Act l, Scene V, No. 9, Cavatina - “Una Voce poco fa” 
 
G. Rossini
Il barbiere di Siviglia, Act I, No. 7 - “Dunque io son”
 
F. Lehár
Die Lustige Witwe, Act III, - “Lippen Schweigen”
 
C. M. Schönberg
Miss Saigon - “Sun and moon”

SYNOPSIS & STORY

ABOUT W. A. MOZART

Screen Shot 2563-12-15 at 10.51.34.png

W. A. Mozart 

Il re pastore, Act ll - “L'amerò, sarò costante”

L'amerò, sarò costante


Italian Opera
Act II

by : Wolfgang Amadeus Mozart

Libretto : Metastasio

Role : Aminta
Voice Part : soprano  
First performed : 23 April 1775 in Salzburg in the Rittersaal
(knight's hall) 

Screen Shot 2563-12-15 at 10.07.22.png

Il re pastore (The Shepherd King)
 

ท่ามกลางทุ่งหญ้า หน้าเมืองไซดอน
Elisa อยู่กับคนรักของเขา Aminta ที่เป็นคนเลี้ยงแกะ Aminta บอกคนรักว่าไม่ต้องห่วงเรื่องสงครามหรอกนะ ความรักระหว่างเราสองคนจะยังเหมือนเดิม...

หลังจากที่ชนะสงคราม และโค่น Stratone ได้ Alessandro ได้ตามหาทายาทที่ถูกต้องเพื่อมาสือบทอดบัลลังก์ต่อ เขาคิดว่า Amninta คือทายาทคนนั้น

 

พระราชาได้ปลอมตัวลงมาหา Aminta ด้วยตนเอง และบอกว่า
"พระราชามีรับสั่งให้ฉันพาตัวของเธอไป"  แต่ Aminta ก็ไม่ได้อยากไป อยากจะเลี้ยงแกะของเขาต่อไป  ระหว่างนั้น Agenore ก็ได้เจอกับ Tamiri ซึ่งเป็นคนรักของเค้า อีกครั้งหนึ่ง Tamiri เป็นลูกสาวของ Stratone Tamiri โล่งใจเพราะเจอกับคนรัก และก็ได้รับรู้ว่า Agenore ยังรักเธออยู่ 

Elisa ก็ได้รับอนุญาตจากพ่อของเธอให้แต่งงานกับ Aminta Agenore บอก Aminta ว่าจริงๆแล้วเธอคือทายาทที่ถูกต้องของบัลลังก์ ซึ่งพ่อของเธอได้ถูกทรราช Stratone ขับไล่ออกไปตอนทีเธอยังเด็ก

 

Aminta สัญญากับ Elisa ว่าถ้าได้บัลลังก์คืนมาแล้ว จะกลับมาหาเธอ Aminta รัก Elisa แต่ Alessandro ได้บอกกับ Aminta ว่า "พอเจ้าเป็นราชาจะมีเรื่องมากมายที่ต้องทำ จะไม่มีเวลาให้กับความรักหรอกนะ" Alessandro บอกให้ Tamiri แต่งงานกับ Aminta เพื่อจะได้สืบทอดบัลลังก์ต่อไป แต่ Aminta ก็ไม่เห็นด้วย

ณ แคมป์มาซิโดเนีย

Agenore ไม่ยอมให้ Elisa เจอกับ Aminta Agenore บอกกับ Aminta ให้เลิกรัก Elisa ได้แล้ว ต่อมา Alessandro  บอกกับ Aminta ให้เตรียมแต่งตัวให้เหมือนเป็นพระราชา เพื่อไปทำหน้าที่ของตนเองได้แล้ว

 

Alessandro ตัดสินใจว่าจะให้ Tamiri และ Aminta แต่งงานกัน Aminta เสียใจมาก จนอยู่ไม่สุข Agenore อารมณ์เสีย และนำข่าวไปบอก Elisa ในส่วนของ Tamiri ก็ไม่ต้องการที่จะแต่งงานกับ Aminta เช่นกัน Agenore ก็ไม่สบายใจกับการแต่งงานครั้งนี้

 

สุดท้ายแล้ว Tamiri ก็ได้บอกกับ Alessandro ว่าเค้ากับ Agenore นั้นรักกัน เหล่าผู้หญิงทั้งสองคนต่างก็ร้องขอ Alessandro ให้ตัวเองได้อยู่กับคนที่รัก (L'amerò, sarò costante ) สุดท้ายแล้ว Alessandro ก็ตระหนักถึงความไม่ถูกต้องที่บังคับให้คนทำตามใจตนเอง สุดท้ายก็เลยปล่อยให้ทุกคนกลับมารักกันตามแต่ใจที่ต้องการ และ Aminta ก็กลายเป็นราชาแห่งไซดอน 

Wolfgang Amadeus Mozart เป็นนักประพันธ์ชาวออสเตรียที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในปลายศตวรรษที่ 18 พี่สาว และ บิดา ของ Mozart เป็นครูสอนดนตรีและนักดนตรีในราชสำนัก สองพี่น้องโมสาร์ทมีความสามารถเล่นดนตรี ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเปียโน หรือแม้กระทั่ง การแต่งซิมโฟนี และ อุปรากร Mozart สามารถทำทุกอย่างที่กล่าวมานี้ ได้อย่างดีเยี่ยมตั้งแต่เด็กๆ 

ในปี 1755 Archduke Maximilian Francis of Austria ลูกชายของ Empress Maria Theresa ได้มาเยือน ซาลซ์บูร์ก Mozart จึงได้ตั้งใจประพันธ์อุปรากร Il re pastore นี้ขึ้น Mozart ใช้เวลา 6 สัปดาห์ในการแสดงอุปรากร ประกอบด้วย 2 องก์ และใช้เวลาประมาณ 107 นาที

TRANSLATION

L'amerò, sarò costante:

Fido sposo, e fido amante

Sol per lei sospirerò.

In sì caro e dolce oggetto

La mia gioia, il mio diletto,

La mia pace io troverò

I'll love her, constant and ever:

Faithful husband, unfaltering lover,

Only for her I'll yearn and sigh.

In an object so precious and pleasing

My greatest joy and sense of well-being,

My sweetest solace there shall I find.


ฉันจะรักเธอ อย่างมั่นคงและตลอดไป

เธอที่รักผู้ซื่อสัตย์ ฉันจะมั่นคงในความรัก

เพียงเธอเท่านั้นที่ฉันจะโหยหา

เพียงเธอเท่านั้นที่ฉันจะเรียกร้อง

เธอเป็นสิ่งที่มีค่า และน่ารื่นรมย์

เธอเป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของฉัน

ความรู้สุกของการเป็นอยู่ที่ดี

คำปลอบใจอันหอมหวานของฉัน
ฉันจะหาให้พบ

G. Fauré

Clair de lune, Op. 46 No. 2

บทเพลง Clair de Lune Op. 24 No. 2 นี้ได้มอบให้กับ Monsieur Emmanuel Jadin และได้เผยแพร่โดย Hamelle ในปี 1888
 

Clair de lune เป็นส่วนหนึ่งของบทกลอน ของคนที่มีนามว่า Paul Verlaine 

ซึ่งเซตของกลอนบทนี้มีชื่อว่า Fete galante เเละ Clair de lune ก็เป็นส่วนหนึ่งของกลอน Masques er bergamasques ซึ่งเป็น Musical คอมเมดี้ใน 1 องค์ โยมีการดขียนโปรแกรมโน้ตจากคนเขียนเนื้อร้อง มีชื่อว่า René Fauchois


เนื้อเรื่องมีความเรียบง่ายมาก มีตัวละครด้วยกันสามตัว คือ Harlequin Gilles and Colombine ซึ่งงานของบุคคลเหล่านี้ส่วนมากที่ทำคือ เล่นละคร แสดงละครตลก ให้กับพวกขุนนางชม ฟัง เพื่อความสนุกสนาน ในงานเลี้ยงสำหรับชนชั้นขุนนาง และพวกเขาก็ผลัดกันเป็นคนดู ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นบนเกาะที่ชื่อว่า Cythera 
 

การแสดงครั้งแรกของ Masques et bergamasques เกิดขึ้นในวันที่ 10 เมษายน ปี 1919 ใน Monte Carlo ควบคุมวงโดย Leon Jehin 
โดยมีลำดับการแสดงดังนี้ 1. Overture, 2. Pastorale, 3. Madrigal, 4. Le plus doux chemin (song, op. 87 no.1, Silverstre), 5 Minuet, 6 Clair de lune (song, op. 46, no.2, Verlaine), 7 Gavotte, 8 Pavane

บทเพลงนี้มีการพรรณาบทกลอนเกี่ยวกับ ความโศกเศร้า เหงา อ้างว้างหรือเดียวดาย ที่ซ่อนเอาไว้อยู่ภายใต้การแต่งตัวที่หรูหรา สวยงาม หรือ การเล่นลูท และ บรรเลงบทเพลงต่างๆ แม้มีการร้องเพลงที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความสุข แต่มาพร้อมกับดนตรีที่เป็นเสียงไมเนอร์ ทำให้ปกปิดความเศร้านี้อยู่ภายใน และยังไม่เชื่อในความสุขที่แท้จริง

ABOUT G. FAURE

Gabriel Fauré เป็นนักประพันธ์ดนตรีชาวฝรั่งเศสที่มีชื่อเสียงมากในปลายยุคโรแมนติก Fauré ประพันธ์เพลงออกมาได้อย่างสวยงาม และ นุ่มนวล ส่งผลมาถึงบทเพลงฝรั่งเศสในยุคสมัยนี้ ความสามารถทางด้านออร์แกน และ เปียโนของ Fauré เป็นที่เลื่องลืออย่างมาก ความสามารถทางด้านดนตรีของ Fauré นั้นได้ฉายแววตั้งแต่ยังเด็ก เมื่อนักประพันธ์เพลงชาวสวิสเซอแลนด์ ได้ยินการบรรเลงดนตรีของ Fauré เขาก็รับเป็นลูกศิษย์ทันที บทเพลงในช่วงแรกของ Fauré อย่างเช่น Pavane, Requiem และบทเพลงร้อง “Après un rêve” และ “Clair de lune” ได้รับความนิยมอย่างมาก ในบั้นปลายชีวิตเขาก็ยังคงประพันธ์บทเพลงออกมาเป็นที่รู้จัก​แต่ในตัวของทำนองและเสียงประสานจะมีความซับซ้อนมากขึ้น

TRANSLATION

Votre âme est un paysage choisi
Que vont charmant masques et bergamasques
Jouant du luth et dansant et quasi
Tristes sous leurs déguisements fantasques.


Tout en chantant sur le mode mineur
L’amour vainqueur et la vie opportune,
Ils n’ont pas l’air de croire à leur bonheur
Et leur chanson se mêle au clair de lune,


Au calme clair de lune triste et beau,
Qui fait rêver les oiseaux dans les arbres
Et sangloter d’extase les jets d’eau,
Les grands jets d’eau sveltes parmi les marbres.

 

Your soul is a select landscape
That is being charmed by maskers and bergamasks,
Playing the lute and dancing and almost
Sad under their whimsical disguises.


Although singing in a minor key
Of conquering love and seasonable life,
They do not seem to believe in their happiness
And their song mingles with the moonlight,


In the calm, sad and beautiful moonlight,
That makes the birds dream in the trees
And the fountains sob with rapture,
The big slender fountains amidst the marble statues.

เมื่อฉันมองเห็นแสงจันทร์ ทำให้ฉันนึกถึงใบหน้าของคุณคนที่ฉันรัก

ฉันต้องหลบซ่อนความรู้สึกไว้ภายในจิตใจ

เสียงบรรเลงของลูท และการเต้นรำ

ร้องไห้และเสียใจอยู่ภายใต้เครื่องแต่งกาย (ปลอมตัว) 

อย่างไรก็ตามเราร้องเพลงในคีย์ไมเนอร์

(เราส่งเสียงบทเพลงผ่านคีย์ไมเนอร์)

เราพบเจอกับความรักและใช้ชีวิตตามความเป็นไปของชีวิต

แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่เชื่อในความสุขของพวกเรา

เสียงบรรเลงท่ามกลางแสงของดวงจันทร์

แสงจันทร์ส่องสว่างลงมา

มีเพียงแสงจันทร์เท่านั้นที่สองลงมาปลอบโยน

และ

น้ำพุที่ดูสดชื่น

น้ำพุใหญ่อันแสนสวยงามท่ามกลางรูปปั้นหินอ่อน

R. Strauss

Malven, TrV 297

บทเพลง Malven เป็นบทเพลง Lieder ภาษาเยอรมัน ประพันธ์โดย Richard Struss บทเพลงนี้เป็นบทเพลงสุดท้ายของ Struss หลังจาก 4 Last Songs เค้าได้ประพันธ์ในเดือนพฤศจิกายน ปี 1948 สองเดือนหลังจากที่ Vier letzte Lieder (4 Last Songs) สำเร็จ
 

ในเดือนมีนาคม Struss ได้ส่งบทเพลงนี้เป็นของขวัญให้กับนักร้องสาว เสียง Soprano ก็คือ Maria Jeritza นักร้องสาวที่มีชื่อเสียงทางด้านการร้องเพลง ของ Struss Maria เก็บเพลงนี้เอาไว้ไม่ให้ใครนำบทเพลงนี้มาร้องเลย จน Struss เสียชีวิตลง หลังจากนั้นก็มีการนำบทเพลง Malven ออกมาแสดงเป็นครั้งแรก ในวันที่10 มกราคม 1985 โดย Kiri Te Kanawa และบรรเลงเปียโนประกอบโดย Martin Katz บทเพลงนี้เข้ากับ Kiri Te Kanawa อย่างมาก เพลงที่เหลืออื่นๆของ Struss ก็เช่นกัน
 

ABOUT R. STRUSS

Richard Struss คีตกวีที่มีชื่อเสียงชาวเยอรมัน ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ถึง ต้นศตวรรษที่ 20
ผลงานการประพันธ์ต่างๆ และ อุปรากร อันแสนไพเราะของ Struss ในช่วงทศวรรษที่ 1890 ในทศวรรษต่อมายังคงเป็นคุณลักษณะที่เป็นบรรทัดฐานที่ขาดไม่ได้ของนักดนตรี 

 

Struss เรียนรู้ทักษะทางทางดนตรีตั้งแต่วัยเด็กจากพ่อของเขา ที่เป็นนักดนตรี บทเพลงซิมโฟนีบทแรกของเค้าได้ถูกนำมาแสดงตั้งแต่ อายุ 17 ปี Struss มีผลงานทางด้านอุปรากรที่โด่งดัง มีทั้งประสบความสำเร็จและไม่ประสบความสำเร็จ โดยอุปรากรที่นำมาออกแสดงเรื่องแรก คือ Guntram ต่อด้วย Feuernot แต่ทั้งสองเรื่องก็ยังไม่ได้ประสบความสำเร็จนัก จนได้ประพันธ์ขึ้นมาอีกเรื่อง คือ Solome ซึ่งอุปรากรเรื่องนี้ได้ทำเงินให้กับ Struss เป็นอย่างมาก และได้ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม
 

TRANSLATION

Aus Rosen, Phlox,

Zinienflor,

ragen im Garten

Malven empor,

duftlos und ohne

des Purpurs Glut,

wie ein verweintes,

blasses Gesicht

unter dem gold’nen

himmlischen Licht.

Und dann verwehen

Leise, leise im Wind,

zärtliche Blüten,

Sommersgesind …

 

From among roses, phlox,

flowering zinnia,

hollyhocks soar

up in the garden,

without scent

or crimson fire,

like a tear-stained,

pallid face

beneath the golden

light of heaven.

And then they drift away

gently, gently on the wind,

these tender blooms,

these servants of summer …

 

Translations by Richard Stokes, author of The Book of Lieder (Faber, 2005)

 

ท่ามกลางดอกกุหลาบและดอกฟอกซ์

ดอกบานชื่นที่กำลังเบ่งบาน

ดอกฉัตรทอง ได้ปลิดปลิว

เข้าไปในสวน

ไม่มีกลิ่น
หรือแม้กระทั่งดอกเฟื่องฟ้า

เหมือนหน้าที่ซีด

และเปื้อนคราบน้ำตา

ภายใต้แสงสีทองจากสรวงสวรรค์(แสงอาทิตย์)

และมันก็ปลิวจากไป

อย่างนุ่มนวล ในสายลม

ดอกไม้เหล่านี้
เป็นทาสรับใช้ของฤดูร้อน

บทเพลง Nuit d'étoiles (Starry Night) เป็นบทเพลง Lieder ภาษาฝรั่งเศสซึ่งเป็นบทเพลงที่มีความไพเราะงดงาม ทั้งในตัวของทำนองเพลง และ ความหมายของบทเพลง บทเพลงนี้เป็นที่รู้จักและมีความโด่งดังเป็นอย่างมาก 
 

บทเพลงนี้ ประพันธ์โดย Claud Debussy นักประพันธ์เพลงชาวฝรั่งเศส  Debussy มีผลงานการประพันธ์บทเพลงประเภทเปียโนไว้ค่อนข้างมาก แต่ส่วนสำหรับบทเพลงร้องกับเปียโน Debussy ได้ประพันธ์เอาไว้ ประมาณ 55 บทเพลง แต่ Debussy ได้เลือกนำเสนอผลงานของเขา บทเพลง Nuit d'étoiles ออกแสดงเป็นบทเพลงแรก ซึ่งมีเนื้อเพลงจากบทกลอนของ Théodore de Banville นักกวีชาวฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 19 

Debussy ได้เขียนเพลงนี้ตอนที่เขาอายุเพียง 18 ปี ในปี 1880 บทเพลงนี้แสดงให้เห็นถึงเอกลักษณ์ ในการแต่งเพลงในช่วงแรกๆของ Debussy ได้เป็นอย่างดี รวมไปถึงอิทธิพลที่ Debussy ได้รับจากวรรณกรรมและธรรมชาติ บทกลอนที่นำมาร้อยเรียงในบทเพลงจริง แต่เดิมมีสี่ท่อน แต่ถูกตัดท่อนที่สามออก

 

ในบทเพลงนี้เมื่อได้ฟังเสียงของเปียโนตอนขึ้นต้นบทเพลง จะรู้สึกว่าเปียโนจะเล่นเสียงออกมามีความคล้ายกับพิณในสมัยก่อน ในขณะที่นักร้องก็ร้องเพลงเกี่ยวกับรักครั้งแรก

C. Debussy

Nuit d'étoiles, L. 4

IMG_0653.PNG
IMG_0653.PNG
IMG_0653.PNG
IMG_0653.PNG
IMG_0649.JPG

ABOUT C. DEBUSSY

Claud Debussy เป็นนักประพันธ์ที่มีชื่อเสียงในยุคปลายศตวรรษที่ 19 ถึงช่วงต้นศตวรรษที่ 20 Debussy มีความโดดเด่นด้านการสร้างผลงานแนว Impressionist Debussy เกิดมาในครอบครัวที่ค่อนข้างเรียบง่าย ในวัยเด็ก Debussy ไม่ค่อยได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีมาก จนวันนึงแม่ของ Debussy ได้ส่งตัว Debussy ไปอยู่กับป้า ซึ่งในตอนนั้นทำให้ Debussy มีโอกาสได้ลองเล่นเครื่องคนตรี ก็คือ "เปียโน" จึงค้นพบความสามารถทางด้านดนตรีของตนเอง และหลังจากนั้นก็ได้เข้าเรียน Conservatory และต่อยอดความสามารถทางด้านดนตรีของตนเองขึ้นมาเรื่อยๆ ผลงานสำคัญของ Debussy เช่น Clair de lune (“Moonlight,” in Suite bergamasque, 1890–1905) และ La Mer (1905; “The Sea”)

TRANSLATION

Nuit d’étoiles,
Sous tes voiles,
Sous ta brise et tes parfums,
Triste lyre
Qui soupire,

Je rêve aux amours défunts.
La sereine mélancolie
Vient éclore au fond de mon cœur,
Et j’entends l’âme de ma mie
Tressaillir dans le bois rêveur.

Nuit d’étoiles …
Je revois à notre fontaine
Tes regards bleus comme les cieux;
Cette rose, c’est ton haleine,
Et ces étoiles sont tes yeux.

Night of stars,
Beneath your veils,
beneath your breeze and fragrance,
Sad lyre
That sighs,

I dream of bygone loves.
Serene melancholy
Now blooms deep in my heart,
And I hear the soul of my love
Quiver in the dreaming woods.

Night of stars…
Once more at our fountain I see
Your eyes as blue as the sky;
This rose is your breath
And these stars are your eyes.

Night of stars...

Translation © Richard Stokes, from A French Song Companion (Oxford, 2000)

 

ค่ำคืนแห่งดวงดาว
ภายใต้ผ้าคลุม
ภายใต้ลมหนาวและกลิ่นของเธอ
เครื่องดนตรีที่กำลังเล่นเพลงเศร้า
เสียงของลมหายใจนั้น

ฉันฝันถึงความรักที่สัมผัสไม่ได้อีกแล้ว
ความเศร้าที่สงบ
ตอนนี้ได้ตราตรึงในใจของฉัน
รู้สึกคิดถึงในป่าไม้แห่งความฝัน

ค่ำคืนแห่งดวงดาว
อีกครั้งหนึ่งที่ฉันเห็นดวงตาของเธอเป็นสีฟ้า
ดอกกุหลาบคือลมหายใจของเธอ
และดวงดาวก็คือดวงตาของเธอ

ค่ำคืนแห่งดวงดาว
 

TRANSLATION

Ach, ich fühl's, es ist verschwunden,  

Ewig hin der Liebe Glück!

Nimmer kommt ihr Wonnestunde

Meinem Herzen mehr zurück!

Sieh', Tamino, diese Tränen,

Fließen, Trauter, dir allein!

Fühlst du nicht der Liebe Sehnen,

So wird Ruh' im Tode sein!

 

Ah, I feel it, it has disappeared

Forever gone  love’s  happiness!

Nevermore will come the hour of bliss

Back to my heart!

See, Tamino, these tears,

Flowing, beloved,  for you alone!

If you don't feel the longing of love

Then there will be peace in death!

 

 ฉันรู้สึกถึงมัน รู้สึกว่ามันหายไป

หายไปตลอดกาล ความรักแห่งความสุข

ช่วงเวลาแห่งความสุข จะไม่มีวันหวนกลับมา

ดูสิ ทามิโน่ ดูน้ำตาเหล่านี้สิ

น้ำตาที่กำลังหลั่งริน ที่รัก เพื่อเธอคนเดียว

ถ้าเธอไม่รู้สึกถึงความปรารถนาในความรักของฉัน

ฉันก็จะตายไปอย่างสันติ

G. Rossini

Il barbiere di Siviglia, Act l, Scene V, No. 9, Cavatina - “Una Voce poco fa” 
 

G. Rossini

Il barbiere di Siviglia, Act I, No. 7 - “Dunque io son”

Dunque io son


Italian Opera
Act I, Scene II

by : Gioachino Rossini

Libretto : Casare Sterbini

Role : Rosina, a young woman under the care 
of Dr. Bartolo

Voice Part : soprano  
First performed :  20 February 1816, Teatro Argentina, Rome 

ABOUT G. ROSSINI

Gioachino Rossini เป็นคีตกวีที่มีผู้คนยอมรับนับถือในด้านความสามารถต่างๆของเค้าเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น ทางด้านการร้องเพลง การเล่นดนตรี หรือประพันธ์บทร้อยกรองต่างๆ Rossini เป็นนักประพันธ์เพลงชาวอิตาลี  อยู่ในช่วงของยุคโรแมนติก Rossini ได้ค้นหาตัวเองทางด้านดนตรี พอเค้าอายุได้ 15 ปี ได้เริ่มเรียนเกี่ยวกับการแต่งเพลงในเมือง โบโลญญ่า และค้นพบว่าตนเองมีความสามารถพิเศษทางด้านนี้ จนอายุ 18 ปี Rossini ได้แต่งบทเพลงในอุปรากร เรื่อง The Barber of Seville ได้รับผลตอบรับที่ดีอย่างล้นหลาม Rossini จึงเลือกทำงานทางด้านนี้มาโดยตลอด อีกหนึ่งผลงานที่โด่งดังของ Rossini ก็คือ William Tell

 

อุปรากรเรื่องนี้เป็น Opera Buffa ในส่วนของบทละครได้นำมาจาก Pierre Beaumarchais's French comady Le Barbier de Seville (1775)

 

Rosina ไม่ยอมแต่งงานกับผู้ดูแลแก่ของเธอ ขณะเดียวกัน Count หนุ่ม คนหนึ่ง ก็ต้องการ Rosina ให้เป็นของเขา  ซึ่งผู้ท่ีจะทำให้รักของท่าน Count กับ Rosina ลงเอยกันได้ก็คือ Figaro ซึ่งเป็นตัวละครที่ฉลาดที่สุดใน Seville Figaro เป็นช่างตัดผมที่โด่งดังที่สุด ทุกคนต้องมาตัดกับเขา ไม่ใช่แค่เรื่องตัดผม แต่เป็นทุกๆเรื่อง เพราะ Figaro ไม่ได้เก่งแค่ตัดผม

(Una voce poco fa) Rosina ได้ยินเสียงอะไรสักอย่างเหมือนมีคนร้องเพลงให้  มันคือ Lindoro ชายหนุ่มที่เธอรัก Rosina บอกว่า ชายคนนี้เป็นของฉันแน่ Cฉันรักเค้า ห้ามใครมายุ่งเชียวนะ ฉันมีกลอุบายมากมายเป็นร้อยๆ เพื่อที่จะให้ได้สิ่งที่ฉันต้องการ 

ณ จตุรัส หน้าบ้านของ Bartolo

เริ่มต้นด้วยฉาก Serenade ที่สวยงาม เป็นฉากที่ Count Almaviva ได้ปลอมตัวเป็นนักเรียนที่ดูไม่มีเงิน ใช้ชื่อว่า Lindoro มาร้องรำทำเพลงอยู่หน้าบ้าน Bartolo เพื่อที่อยากจะทำให้ Rosina เห็น และ ตกหลุมรักเค้า เหตุผลที่เค้าต้องปลอมตัวให้ยุ่งยาก เพราะ Count Almaviva เนี่ย อยากให้ Rosina ชอบที่ตัวเค้าไม่ใช่เพราะความร่ำรวย 

แต่สถานการณ์นี้เองทำให้เกิดความยุ่งยากกับ  Count Almaviva มาก เพราะ Bartolo ซ่อน Rosina ไว้ในบ้าน เพราะหวังเอาไว้ว่าอยากจะแต่งงานกับเธอ และไม่อยากให้เธอได้พบกับชายคนไหนเลย

 

แต่ทันใดนั้น!!! ผู้ที่จะมาช่วย Count Almaviva ก็โผล่มา นั่นคือ Figaro นั่นเองง 

Figaro เนี่ยนอกจากจะเป็นช่างตัดผมแล้ว เค้าก็ทำอะไรอย่างอื่นได้หลายอย่างมาก โดยเฉพาะการช่วยคนอื่นแก้ปัญหาค่ะ)

 

แต่ในตอนนั้นเอง Figaro ก็ปรากฎตัวขึ้น เพื่อที่จะมาช่วย Count Almaviva 

 

ตัดฉากมาที่ Rosina ซึ่งในตอนที่ Lindoro มาร้องเพลงหน้าบ้าน Rosina ก็บังเอิญเห็น และตกหลุมรัก Lindoro ไปเป็นที่เรียบร้อย และเห็นว่า Lindoro นี่แหละจะเป็นคนที่จะพาเธอออกไปจากบ้านหลังนี้

 

Rosina เลยได้เริ่มทำการเขียนจดหมายรักให้กับ Lindoro (Una voce poco fa) ซึ่งเหตุการณ์นี้เองเป็นเหตุการณ์ที่อยู่ในบทเพลง Una voce poco fa ค่ะโดย Rosina ก็ได้ฝากให้ฟิกาโร่เอาจดหมายไปให้กับ Count Almaviva

และในตอนนั้นเอง Rosina ก็ได้บังเอิญพบกับ Figaro ทั้งสองก็ได้สนทนากันเกี่ยวกับความรักที่ Rosina มีให้กับ Lindoro ซึ่ง Rosina ก็รู้สึกเขินอาย ไม่รู้ว่าจะสื่อความรักที่มีต่อ Lindoro ได้อย่างไร ฟิกาโร่ก็เลยแนะนำให้เธอเนี่ยเขียนจดหมายจะหาดูไหมว่าเธอน่ะเขียนเตรียมเอาไว้เสร็จเรียบร้อยแล้วและเหตุการณ์นี้ค่ะก็เป็นเหตุการณ์ที่อยู่ในบทเพลง….

 

หลังจากที่ทั้งสอง (บอกชื่อ) ได้วางแผนกัน Count Almaviva ก็ปลอมตัวอีกครั้ง กลายเป็น ทหารขี้เมา 

เค้าทำเป็นไม่รู้เรื่อง เมาแอ๋ แล้วก็พุ่งเข้าไปในบ้านของ Bartolo ทันที

 

พอBartoloเห็นเช่นนั้น ก็โทรหาตำรวจเพื่อจะให้มาจับ ในตอนนั้นทหารเมา ก็แอบสอดจดหมายไปให้กับRosina 

พอตำรวจมาถึง Bartolo ก็บอกว่า ไปจำไอทหารนี่ซะ แต่ Count Almaviva ก็แอบเดินไปกระซิบกับตำรวจว่าจริงๆแล้วเค้านั้นเป็นใคร ทำให้ตำรวจไม่กล้าจับ Bartolo ก็งงมากว่าทำไมตำรวจถึงไม่จับ

 

ฉากต่อมา Count Almaviva ปลอมตัวอีกครั้งนึง คราวนี้ปลอมตัวเป็น ครูสอนดนตรี มาหา Bartolo แล้วบอกว่าเป็น ตนเนี้ยเป็นครูสอนดนตรีของ Rosina นะ แต่Bartolo ก็ดูไม่เชื่อเท่าไหร่ 

เค้าเลยยื่นจดหมายให้ดูว่าเนี่ยเป็นจดหมาย Rosina ส่งให้ กับ Lindoro คนใช้ของเขา และ Count Almaviva จะมาเอา Rosina จาก Bartolo ไป 

 

Bartolo ก็คิดหนักว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อดี สรุปก็คือ Bartolo ก็ให้เข้าไปสอน แต่มีข้อแม้ว่า Bartolo จะขอนั่งอยู่ในห้องด้วย

และ ฟิกาโร่ก็เข้ามาทำงาน โกนหนวด ให้กับ Bartolo

ระหว่างที่ Bartolo โกนหนวด ครูสอนดนตรีและRosina ก็เรียนกันไปจีบกันไป Bartoloโมโห เลยบอกว่าอยากจะแต่งงานกับ Rosina คืนนี้เลย ก็เลยไปคุยกับเพื่อนที่เป็นครูสอนดนตรีจริงๆที่มีชื่อว่า Basilio ให้ตามบาทหลวงมาเพราะชั้นจะแต่งงานกับ Rosina คืนนี้

 

Bartolo ได้บอกกับ Rosina ว่าจริงๆแล้วLindoro เป็นคนใช้ของ Count Almaviva  ที่กำลังหลอกใช้เธออยู่ Rosina เสียใจมาก

Rosina บอกว่า ชั้นจะยอมแต่งงาน

 

ต่อมา Rosina ได้พบกับ Lindoro แล้วก็โกรธมาก แต่แล้ว Count Almaviva ก็เปิดเผยตัวตนและสารภาพว่าเค้าไม่ใช่ Lindoro แต่เป็น ท่านCount และอธิบายเหตุผลที่ปลอมตัวเพราะว่าฉันรักเธอมาตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว Rosinaดีใจ และก็บอกไปว่าฉันก็รักเธอเหมือนกัน

 

Basilio และ ทนาย ก็เข้าห้องมาพอดีเพื่อที่จะจดทะเบียนสมรสกัน พอเจอทนาย Count Almaviva ก็ให้สินบนกับทนาย บอกว่าให้ช่วยเปลี่ยนชื่อเจ้าบ่ายให้หน่อย โดนให้ Figaro และ Basilio เป็นพยาน 

ในตอนนั้นที่ Bartolo ที่ตามมาทีหลัง กลับมาอีกทีก็เจอว่า Count Almaviva กับ Rosina แต่งงานกันแล้ว และเปิดเผยว่าจริงๆแล้ว ฉันคือ ท่าน Count Almaviva.

TRANSLATION

N. 7 - Duetto

ROSINA
Dunque io son ... tu non m'inganni?
Dunque io son la fortunata! . .
tra sé
Già me l'ero immaginata:
lo sapevo pria di te.

FIGARO
Di Lindoro il vago oggetto
siete voi, bella Rosina.
tra se'
Oh, die volpe sopraffina,
ma l'avrà da far con me.

ROSINA
Senti, senti ... ma a Lindoro
per parlar come si fa?

FIGARO
Zitto, zitto, qui Lindoro
per parlarvi or or sarà.

ROSINA
Per parlarmi? ... Bravo! bravo!
Venga pur, ma con prudenza;
io già moro d'impazienza!
Ma che tarda? ... ma che fa?

FIGARO
Egli attende qualche segno,
poverin, del vostro affetto;
sol due righe di biglietto
gli mandate, e qui verrà.
Che ne dite?

ROSINA
Non vorrei...

FIGARO
Su, coraggio.

ROSINA
Non saprei …

FIGARO
Sol due righe …

ROSINA
Mi vergogno...

FIGARO
Ma di che? Ma di che? ... si sa!
andando allo scrittoio
Presto, presto; qua un biglietto.

ROSINA
Richiamandolo, cava dalla tasca il biglietto e glielo dà.
Un biglietto? ... eccolo qua.

FIGARO
attonito
Già era scritto? Ve', che bestia!
Il maestro faccio a lei!
Ah, che in cattedra costei
di malizia può dettar.
Donne, donne, eterni Dei,
chi vi arriva a indovinar?
Qui verrà. A momenti
per parlar qui sarà.

ROSINA
Fortunati affetti miei!
Io comincio a respirar.
Ah, tu solo, amor, tu sei
che mi devi consolar!

Rosina

ก็คือฉันหน่ะสิ นี่เธอไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม ฉันเป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุดเลย

แต่ฉันก็เดาไว้อยู่แล้วแหละ ฉันรู้อยู่แล้ว

 

Figaro

ก็คือเธอไง โรซิน่า ที่รัก หญิงสาวที่ ลินโดโร่ รัก โอ้ เธอนี่เจ้าเล่ห์เหมือนจิ้งจอกเลย ต้องมาเจอฉันก่อนแล้วหล่ะ

Rosina

แต่บอกฉันหน่อย ฉันจะพยายามบอก ลินโดโร่ ได้อย่างไร  

Figaro

รอหน่อย อดทนหน่อยสิ เดี๋ยว ลินโดโร่ จะมาหาเธอเอง  

Rosina

จะมาคุยกับฉันหรอ ดีเลยอ่ะ ดีใจที่สุด บอกให้เค้ามาสิ แต่ให้ระวังหน่อยนะ ตอนนี้ฉันทนไม่ไหวแล้ว อยากเจอใจจะขาด ทำไมเค้าถึงมาช้าจัง เค้าทำอะไรอยู่

 

Figaro

เค้าก็รอโอกาสอยู่นะ ผู้ชายคนนี้ที่ตกหลุมรักเธอ คนที่เธอชอบ ลองเขียนจดหมายถึงลินโดโร่สักสองบรรทัดสิ แล้วเดี๋ยวเค้าก็จะมาหาถ้าเธอส่งไป ว่าไงหล่ะ จะส่งไหม?

 

Rosina

ฉันไม่ควรจะเจอเค้าหรอก?  

 

Figaro เอาหน่า กล้าๆหน่อยสิ  

 

Rosina ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันอ่ะ  

 

Figaro แค่สองบรรทัดเอง เอาเถอะ  

 

Rosina ฉันอายอ่ะ  

 

Figaro แต่...ทำไมหล่ะ เร็วๆสิ เอาจดหมายมาให้ฉัน  

Rosina จดหมายหรอ... อ่ะนี่

(Rosina เอาจดหมายส่งให้กับ Figaro ทันที)

 

Figaro

เขียนเสร็จแล้วหรอ...โกหกฉันหรือเปล่าเนี่ย! (เจ้าเล่ห์จริงๆ มาสอนฉันบ้างก็ดีนะ)  Rosina โชคชะตากำลังจะนำพาให้ทั้งสองคนมาเจอกัน โล่งอกไปที  

 

Figaro

(เรื่องเจ้าเลห์ของผู้หญิงนี่เป็นศาสตราจารย์ได้เลย)  

 

Rosina

โอ้ เธอคนเดียวเท่านั้น ที่จะสามารถมาเอาใจฉันไปได้  

 

Figaro

พวกผู้หญิงนี่นะ พระเจ้าจะเข้าใจหรือเปล่า

 

Rosina

โอ้ เธอคนเดียวเท่านั้น ที่จะสามารถมาเอาใจฉันไปได้  

 

Rosina

บอกฉันหน่อยสิ แต่ว่าลินโดโร่....  

 

Figaro

เค้ากำลังมา อีกไม่กี่นาทีหรอก เค้าจะมาที่นี่เพื่อคุยกับเธอ  

Rosina มาเลย แต่ว่าให้ระวังหน่อยนะ  

 

Figaro ใจเย็นๆ เค้ากำลังมา  

 

Rosina โชคชะตากำลังจะนำพาให้ทั้งสองคนมาเจอกัน โล่งอกไปที โอ้ เธอคนเดียวเท่านั้น ที่จะสามารถมาเอาใจฉันไปได้

 

Figaro พวกผู้หญิงนี่นะ พระเจ้าจะเข้าใจหรือเปล่า



 

Lippen Schweigen from the operetta Die Lustige Witwe                                by F. Lehár

Lippen Schweigen


German Operetta
Act III

by : Franz Lehár

Libretto :  Viktor Léon and Leo Stein

Role :  Hanna, Dalino
Voice Part : soprano, Tenor
First performed :  1905 in An der Wien, Vienna

ABOUT F. LEHAR

Franz Lehar นักประพันธ์บทเพลงชาวออสเตรีย-ฮังการี
นักประพันธ์บทเพลงเจ้าของจุลอุปรากร (Operetta) ที่ประสบความสำเร็จและโด่งดัง เรื่อง Die lustige Witwe (The Merry Widow) Lehar ได้ศึกษาที่ Prague Conservatory

กับ Antonín Dvořák Lehar เดินทางไปทั่วออสเตรีย แต่ในปี 1896 ก็ได้ประพันธ์ Operetta เรื่อง Kukuschka การทำงานของ Lehar ประสบความสำเร็จมาก และยังได้ประพันธ์ผลงานเรื่องอื่นๆอีก เช่น The Man with Three Wives (1908), The Count of Luxembourg (1909), Gypsy Love (1910), and The Land of Smiles (1923)

Lippen Schweigen เป็นบทเพลงร้องสไตล์ Waltz เป็นเพลงคู่ระหว่างพระเอก Danilo กับนางเอก Hanna  บทเพลงนี้อยู่ในฉากเต้นรำที่ทั้ง 2 กำลังจะถึงคิวที่จะได้เป็นคู่เต้นรำกัน สิ่งที่น่าสนใจของบทเพลงนี้คือทั้งสองเคยสัญญากันว่า จะไม่เอ่ยปากบอกรักกัน ต่างคนต่างไม่ยอมปริปากกล่าวคำว่ารักออกมาแม้แต่น้อย มีเพียงเสียงของทำนองและไวโอลิน เสต็ปเท้าแต่ละก้าว ที่ก้าวตามจังหวะ สัมผัสของฝ่ามือทั้งสอง บทเพลงที่มีความโรแมนติกมาก แต่ไม่มีคำว่ารักหลุดออกมาจากปากทั้งคู่แม้แต่นิด 
 

บทเพลงนี้เป็น Operetta แนวขบขัน มี 3 องก์ ประพันธ์ดนตรีโดย Franz Lehár นักประพันธ์ชาวฮังการี และประพันธ์คำร้องภาษาเยอรมันโดย Viktor Léon และ Leo Stein 

Dalino และ Zeta ได้รับและอ่านโทรเลขด่วนจากรัฐมนตรี ความว่า 

ถ้าเงินล้านของ Glawari ไม่อยู่ในประเทศ ประเทศเราก็จะมีโอกาสเจ๊งทั้งประเทศ  

พอ Dalino รู้ว่า Hanna จะต้องแต่งงานกับ Roussillon Dalino ก็ไม่พอใจ เหตุการณ์นั้นเอง

เป็นครั้งแรกเลย ที่ทั้งสองได้มาคุยกัน และก็แสดงให้เห็นว่า Dalino ยังปิ๊งเธออยู่

TRANSLATION

Lippen schweigen,‘s flüstern Geigen: “Hab mich lieb?” 

All die Schritte sagen: “Bitte, hab mich lieb!” 

Jeder Druck der Hände deutlich mir ‘s beschrieb 

Er sagt: “Klar, ‘s ist wahr, ‘s ist wahr. Du hast mich lieb!” 

Bei jedem Walzerschritt, tanzt auch die Seele mit. 

Da hüpft das Herzchen klein, es klopft und pocht: 

“Sei mein, sei mein!”

 Und der Mund, er spricht kein Wort, doch tönt es fort und immer fort:

 “Ich hab dich ja so lieb. Ich hab dich lieb!” 

 

Lips are silent, violins whisper, “Do you love me?”

 Every step is saying, “Please love me!” 

Each press of hands tells me clear It says: 

“Clearly, it’s true, it’s true. You do love me!” 

With each waltz step, the soul dances too. 

The hops of the little heart, knock and insist: 

“Be mine, be mine!”

 And the mouth, it speaks no word, 

but its tones are stronger and ever stronger: 

“I love you so. I love you!”

 


ริมฝีปากเงียบ(ไม่มีเสียงร้อง) ไวโอลินเล่นเพลงออกมา ว่า คุณรักฉันหรือเปล่า?
ทุกๆก้าวก็เหมือนพูดว่า รักฉันเถอะ
ทุกๆการกดของมือ(มือที่จับกันระหว่างการเต้น) จิตวิญญาณเต้นไปด้วย
หัวใจเต้นแรง ดึ้กๆ เคาะเเละยืนยัน
เต้นกับฉันเถอะๆ(หัวใจเต้น)
ริมฝีปากที่เงียบสงัด แม้จะไม่มีคำพูด
แต่ว่าสิ่งที่จะพูดก็แข็งแรงขึ้น
ว่าฉันรักเธอๆ

W. A. Mozart

Die Zauberflöte, K. 620, Act ll - “Ach ich fühl's”

Ach ich fühl's


German Opera
Act II, Scene VI

by : Wolfgang Amadeus Mozart

Libretto : Emanuel Schikaneder

Role : Pamina 
Voice Part : soprano  
First performed :  30 September 1791 suburban Freihaus-Theater auf der Wieden, Vienna

ABOUT W. A. MOZART

Wolfgang Amadeus Mozart เป็นนักประพันธ์ชาวออสเตรียที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในปลายศตวรรษที่ 18 พี่สาว และ บิดา ของ Mozart เป็นครูสอนดนตรีและนักดนตรีในราชสำนัก สองพี่น้องโมสาร์ทมีความสามารถเล่นดนตรี ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเปียโน หรือแม้กระทั่ง การแต่งซิมโฟนี และ อุปรากร Mozart สามารถทำทุกอย่างที่กล่าวมานี้ ได้อย่างดีเยี่ยมตั้งแต่เด็กๆ 

ในปี 1755 Archduke Maximilian Francis of Austria ลูกชายของ Empress Maria Theresa ได้มาเยือน 
ซาลซ์บูร์ก Mozart จึงได้ตั้งใจประพันธ์อุปรากร
Il re pastore นี้ขึ้น Mozart ใช้เวลา 6 สัปดาห์ในการแสดงอุปรากร ประกอบด้วย 2 องก์ และใช้เวลาประมาณ 107 นาที

Ach ich fühl's

 

บทเพลงนี้เป็นหนึ่งบทเพลงที่มีความไพเราะมากที่สุดเพลงหนึ่ง ในอุปรากรเรื่อง The Magic Flute ของ Mozart เป็นเพลงที่แสดงให้เห็นถึงความเจ็บปวดของ Pamina และ ความปรารถนาของ Pamino เสียงบรรเลงดนตรีของออเครสตร้านั้น มีการเล่นเหมือนกับหัวใจที่สิ้นหวัง บวกกับเนื้อหาของบทเพลง ลายทำนองของนักร้อง โชว์ความเจ็บปวดของ Pamina ที่ต้องการความรักจาก Tamino
 

การแสดงครั้งแรก บท Pamina นำแสดงโดย Anna Gottlieb มีอายุเพียง 17 ปี ซึ่งเคยเล่นเป็น Barbarinaในเรื่อง Le Nozze di Figaro มาก่อน

เหตุการณในบทเพลงมีอยุ่ว่า...

ขณะที่ Tamino กำลังบรรเลงขลุ่ยวิเศษอยู่ Pamina มาเพื่อที่จะพบกับ Tamino แต่ Pamina ก็ต้องเสียใจเมื่อ Tamino ไม่ยอมพูดคุยโต้ตอบกับเธอเลย ในขณะนั้น Pamina ไม่รู้ว่าในตอนนั้น Tamino อยู่ภายใต้คำสั่งว่าห้ามพูดอยู่

Act 1 เจ้าชาย Tamino  กำลังถูกรุกรานจากงูร้าย แต่ก็ได้ หญิงสาว 3 คน สาวรับใช้ของ พระราขินี Queen of Night แม่ของ Pamina ช่วยเหลือเอาไว้ ทั้งสามสาวรู้สึกหลงเสน่ห์ Tamino และได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ราชินีฟัง ทางฝั่งของ Tamino ฟื้นขึ้นมาแต่กลับเจอ Papageno และ Papagena นกทั้งสองตัวนี้บอกกับ Tamino ว่า "พวกเราเป็นคนช่วยเหลือท่าน" แต่ก็ต้องโดนจับได้ว่าโกหก และถูกลงโทษ เมื่อสามสาวปรากฎตัวอีกครั้ง 

 

หญิงสาวสามตนได้เล่นเรื่องราวเกี่ยวกับ Pamina และให้ได้ดูรูปภาพเหมือน ทำให้ Tamino รู้สึกตกหลุมรักกับ Pamina หญิงสาวในรูปเข้าแล้ว
หญิงสาวเลยได้เล่าเรื่องราวต่อว่า ในตอนนี้ Pamina ได้ถูกลักพาตัวไปขังไว้  และ Tamino ก็กล่าวขึ้นมาทันที ว่าจะไปช่วย ในตอนนั้นเอง ราชินีก็ปรากฏตัวขึ้นทัรที มาพร้อมกับเสียงฟ้าร้องดังสนั่น  ราชินีได้ร่ำครวญเสียใจ ที่ถูกพรากลูกของตนไป และบอกกับ Tamino ว่าถ้าเจ้าช่วยลูกสาวของข้าได้ ข้าจะยกลูกสาวของข้าให้เจ้า และทั้งหมดที่เหลือก็เดินทางไปช่วย Pamina รวมถึงเจ้านกสองตัวที่โดนลงโทษด้วยเพื่อให้ติดตามไปคุ้มครอง Tamino 
 

Papageno ได้พบกับ Pamina และบอกถึงเรื่องราวทั้งหมด และจะมีชายหนุ่มมาช่วยเหลือ Pamina ดีอกดีใจ รอที่จะพบ

ตัดมาฝั่ง Tamino วิญญาณทั้งสามตัวนำ Tamino ไปยังวัด Sarastro Tamino คิดหาทางให้คนอื่นมาช่วยเหลือจึงเล่นขลุ่ยวิเศษ เพื่อหวังให้ Papageno และ Pamina ได้ยิน Papageno ก็เล่นท่อของเขาเช่นกัน ต่างฝ่ายต่างตามหาเสียงของกันและกัน สุดท้าย Pamina และ Papageno ก็ถูกจับโดย Monostatos  แต่ก็หนีรอดมาได้เพราะระฆังวิเศษ
 

ต่อมา Sarastro พบกับ Pamina และบอกว่า ฉันจะให้อิสระแก่เธอ Sarastro พาเธอไปเจอกับ Tamino ทั้งสองโอบกอดกัน แต่ทั้ง

สองยังจะต้องเผชิญกับสิ่งท้าทาย และฝ่าด่านต่อไป
 

Act 2

ด่านแรกคือ จะต้องรักษาความเงียบเอาไว้เมื่อเจอหน้าผู้หญิง 
 

Pamina เศร้าเสียใจ Monostatos ปรากฎตัวขึ้น แต่ราชินีก็ปรากฎตัวตามมาทันที Monostatos ตกใจและหนีไป  ราชินีมอบกริชด้ามหนึ่งให้ Pamina และสั่งให้ Sarastro หากไม่ยอมทำตาม จะตัดแม่ลูกกัน 

 

หลังจากนั้น Pamina ได้พบกับ Tamino แต่ก็ไม่ได้รับเสียงตอบรับ พูดอะไรไป Tamino ก็ไม่ตอบนางเลย ในตอนนั้น Pamina ไม่รู้ว่า Tamino อยู่ภายใต้คำสั่งให้อยู่ในความเงียบอยู่ Pamina เลยเสียใจ คิดว่า Tamino หมดรักเธอแล้ว จึงจาก Tamino ไป (Ach ich fühl's )

ทั้งสองได้ฝ่าด้านทดสอบต่างๆมามากมาย Papageno ได้พบกับบททดสอบไปเจอกับหญิงชรา และสัญญาว่าจะแต่งงานกับเขา และจะซื่อสัตย์ ปรากฎหญิงชรากลายร่างเป็นสาวสวย ชื่อว่า Papagena แต่ก็ได้หายไป เพราะ บอกนี่ยังเป็นบททดสอบที่ไม่เพียงพอสำหรับ Papageno 
 

Pamina หลบเข้าไปในสวนพร้อมกริด คิดจะฆ่าตัวตาย แต่ก็ได้ถูกห้ามไว้ และบอกว่า Tamino ยังรักเธออยู่

ด่านสุดท้าย คือด่านไฟและน้ำ Pamina ถูกอนุญาตให้มาเจอกับ Tamino ได้ ทั้งสองเข้าใจเหตุการณ์ทุกอย่าง และร่วมต่อสู้มาด้วยกัน และด้วยอำนาจของเพลงขลุ่ย Sarastro ปลื้มใจกับทั้งสอง

Papageno เศร้าใจที่ไม่ได้พบกับหญิงชรา สุดท้ายเลยใช้ระฆังวิเศษเรียกหา Papagena ปรากฎตัว ทั้งสองจึงได้พบกันและมีความสุข

ราชินีผู็ซึ่งทรยศยกทัพมาพร้อมกับสมุนของนางเพื่อจะมาฆ่า Sarastro แต่ก็สายไปเสียแล้ว พวกนางพ่ายแพ้ และหายไปชั่วนิจนิรันดร์ 

Sarastro Tamino และ Pamina พร้อมกับเหล่านักบวช เข้ามาในวิหารและร้องเพลงสรรเสริญ และ ขอบคุณพระเจ้า


Una voce poco fa


Italian Opera
Act I, Scene II

by : Gioachino Rossini

Libretto : Casare Sterbini

Role : Rosina, a young woman under the care 
of Dr. Bartolo

Voice Part : soprano  
First performed :  20 February 1816, Teatro Argentina, Rome 

TRANSLATION

Una voce poco fa

qui nel cor mi risuonò;
il mio cor ferito è già,

e Lindor fu che il piagò.

 

Sì, Lindoro mio sarà;

lo giurai, la vincerò.

 

Il tutor ricuserà,

io l'ingegno aguzzerò.

Alla fin s'accheterà

e contenta io resterò.

 

Sì, Lindoro mio sarà;

lo giurai, la vincerò.

 

Io sono docile, son rispettosa,

sono obbediente, dolce, amorosa;

mi lascio reggere, mi fo guidar.

 

Ma se mi toccano dov'è il mio debole

sarò una vipera e cento trappole

prima di cedere farò giocar.


 

A voice has just

echoed here into my heart

my heart is already wounded

and it was Lindoro who shot.

 

Yes, Lindoro will be mine

I've swore it, I'll win.

 

The tutor will refuse,

I'll sharpen my mind

finally he'll accept,

and happy I'll rest.

 

Yes, Lindoro will be mine

I've swore it, I'll win.

 

I'm gentle, respectful

I'm obedient, sweet, loving

I let be ruled, I let be guided

 

But if they touch where my weak spot is

I'll be a viper and a hundred traps

before giving up I'll make them fall

 

Translated by Gabriel Huaroc (ghuaroc@usm.edu.ec)

 

ได้ยินเสียงนั่นไหม เสียงเล็กๆนั่น

มันยังคงดังก้องอยู่ในหัวใจของฉัน

มันทะลุเข้ามาในหัวใจของฉัน(มันอยู่ในหัวใจของฉันมาตลอดเลยนะ)

ลินโดโร่เธอทำให้ฉันคิดถึง

 

ใช่ ฉันคิดถึงเธอมากเลยนะลินโดโร่

ฉันสาบานว่าฉันจะรักเธอที่สุด

 

ฉันคิดนะ ว่าฉันควรจะรักเธอดีไหม

ใจฉันต้องบอกว่าไม่เเน่เลย

แต่สุดท้ายมันจะต้องได้คำตอบ

อ้อ คำตอบคือ ฉันรักเธอ

 

ฉันอ่อนหวานนะ ฉันนอบน้อมถ่อมตน

ฉันจะเชื่อฟังเธอ ฉันอ่อนโยนด้วยนะ

 

ฉันเชื่อฟัง ฉันอ่อนหวาน ฉันอ่อนโยน

ฉันจะทำตามที่เธอต้องการทุกอย่างเลย
ฉันจะให้เธอเป็นผู้นำทางของฉัน

 

แต่ถ้าเธอหน่ะทำให้ฉันโกรธ ฉันจะเอาคืนนะ

ฉันเหมือนงูพิษเลยหล่ะ ฉันมีเล่ห์เหลี่ยมมากมาย

ฉันจะไม่ยอมแพ้เธอหรอกนะ 

าาา

Duet

ROSINA
Then it is I … You are not mocking me?
Then I am the fortunate girl!
(But I had already guessed it,
I knew it all along.) etc.



FIGARO
You are, sweet Rosina,
of Lindoro's love, the object.
(Oh, what a cunning little fox!
But she'll have to deal with me.) etc.
 

 

ROSINA
But tell me, to Lindoro
how shall I contrive to speak?

FIGARO
Patience, patience, and Lindoro
soon your presence here will seek.

ROSINA
To speak to me? Bravo! Bravo!
Let him come, but with caution,
meanwhile I am dying of impatience!
Why is he delayed? What is he doing?

FIGARO
He is awaiting some sign,
poor man, of your affection;
send him but two lines
and you will see him here.
What do you say to this?

ROSINA
I shouldn't see him …

FIGARO
Come, courage.

ROSINA
I don't know …

FIGARO
Only two lines …

ROSINA
I am too shy.

FIGARO
But why? But why?
Quickly, quickly, give me a note.
 

 

ROSINA
A note? … Here it is.
She takes a letter from her bsom and gives it to him

FIGARO
(Already written … What a fool I am!
She could give me a lesson or two!)

ROSINA
Fortune smiles on my love,
I can breathe once more.

FIGARO
(in cunning itself
she could be a professor.)

ROSINA
Oh, you alone, my love,
can console my heart.

FIGARO
(Women, women, eternal gods,
who can fathom their minds?) etc.

ROSINA
Oh, you alone, my love,
can console my heart. etc.

ROSINA
Tell me, but Lindoro …

FIGARO
Is on his way. In a few minutes
he'll be here to speak to you.

ROSINA
Let him come, but with caution.

FIGARO
Patience, patience, he'll be here.

ROSINA
Fortune smiles on my love,
I can breathe once more.
Oh, you alone, my love,
can console my heart. etc.

FIGARO
(Women, women, eternal gods,
who can fathom their minds?) etc.

 

bottom of page